ICHIMOKU Kinko Hyo ซึ่งเรียกสั้น ๆ ว่า Ichimoku เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สร้างอยู่บนกราฟแท่งเทียน เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์การเคลื่อนไหวของราคา โดยมันถูกพัฒนาในช่วงปลายปี 1930 โดย Goichi Hosoda ซึ่งเป็นนักวารสารชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีชื่อที่เป็นที่รู้จักกันคือ Ichimoku Sanjin ซึ่งสามารถแปลความหมายได้ว่า สิ่งที่ผู้ชายที่อยู่บนเขาได้เห็น เขาใช้เวลากว่า 30 ปี ทำให้เทคนิคนี้สมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะเผยแพร่ให้กับสาธารณชน ในปี 1960
โครงสร้างของตัวบ่งชี้ Ichimoku Kinko Hyo
นี่คือตัวบ่งชี้ที่เกิดขึ้นจาก 5 บรรทัด:
(1) เส้น Tenkan-sen เป็นที่รู้จักกันในชื่อสายการแปลง คำนวณโดยการเพิ่มค่าสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเก้าช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้วหารผลลัพธ์ด้วยสอง
(2) ถนน Kijun-sen เป็นที่รู้จักกันในชื่อเส้นฐาน คำนวณโดยการเพิ่มค่าสูงสุดและต่ำสุดใน 26 ช่วงเวลาที่ผ่านมาและหารผลลัพธ์ด้วยสอง
(3) Senkou Span A คำนวณโดยการเพิ่ม Tenkan-sen และ Kijun-sen และหารผลลัพธ์ด้วยสอง บรรทัดนี้ถือเป็นช่วงนำเพราะมันอยู่ก่อนราคา 26 เทียน
(4) Senkou Span B คำนวณโดยการเพิ่มค่าสูงสุดและต่ำสุดในช่วง 52 ที่ผ่านมาและหารผลลัพธ์ด้วยสอง บรรทัดนี้ยังถือว่าเป็นช่วงนำเนื่องจากอยู่ก่อนราคา 26 เทียน
(5) Chikou Span : ช่วงปกคลุมด้วยวัตถุฉนวน มันคือราคาปิดของช่วงเวลาปัจจุบันที่พล็อต 26 งวดย้อนหลังบนกราฟ
(6) Senkou Span A และ Senkou Span B รวมตัวกันเพื่อก่อตัวเป็นเมฆ Kumo วางแผนราคาล่วงหน้า 26 งวด นี่ถือเป็นแนวรับหรือแนวต้านของราคาในการซื้อขาย
ประโยชน์ของการใช้งาน Indicator Ichimoku
1.บอกจุดซื้อ-ขาย จากเส้นคู่กลาง Tenkan vs Kijun
เส้นคู่กลางมี 2 เส้น คือเส้น Tenkan และเส้น Kijun โดยปกติถ้าเรา insert เข้ามาตามต้นแบบเดิมๆ เส้น Tenkan จะเป็นสีแดง ส่วนเส้น Kijun จะเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งทั้งสองเส้นนี้จะทำหน้าที่บอกจุดหรือสัญญาณซื้อ-ขาย หรือแนวโน้มในระยะสั้น ๆ โดยมีวิธีการจำง่ายๆ ก็คือ ดูเส้นสีแดง (Tenkan) เป็นหลัก ถ้าตัดเส้นน้ำเงินขึ้นให้ซื้อ ถ้าตัดน้ำเงินลงให้ขาย
2.ยืนยันการเกิด Trend ใหญ่ ๆ Chikou vs Kumo
ปกติเส้นถอย (Chikou) จะเป็นสีเขียว ส่วนเส้นขยับ (Kumo) หรือที่เรียกว่ากลุ่มก้อนเมฆนั้น จะเกิดจากเส้นสองเส้นรวมเข้าด้วยกัน คือเส้น Senkou span A กับเส้น Senkou span B ถ้าสองเส้นนี้อยู่ห่างกันก็จะเป็นก้อนเมฆใหญ่ ถ้าอยู่ใกล้กันก็เป็นก้อนเมฆเล็ก แต่หากใกล้กันมาก ๆ ก็จะกลายเป็นเส้น ในการยืนยันการเกิดTrend ก็คือ หากเส้นถอยตัดเส้นขยับขึ้น หมายความว่าอาจเกิด Trend ใหญ่ขาขึ้น แต่ถ้าเส้นถอยตัดเส้นขยับลง หมายความว่าอาจเกินเทรนด์ใหญ่ขาลง
3.บอก pattern ของราคาว่ากำลังอยู่ในช่วงไหน Candlesticks vs Kumo
pattern ของราคากำลังอยู่ในช่วงไหน เทรดเดอร์สามารถดูได้จากตำแหน่งของแท่งเทียนที่อยู่กับกลุ่มก่อนเมฆ โดยมีหลักการดังนี้
ถ้าราคา(แท่งเทียน) อยู่เหนือก้อนเมฆ แสดงว่ายังเป็นแนวโน้มขาขึ้น
ถ้าราคา(แท่งเทียน) อยู่ใต้ก้อนเมฆ แสดงว่ายังเป็นนวโน้มขาลงอยู่
ถ้าราคา(แท่งเทียน) อยู่ใน Zone ก้อนเมฆอยู่ ยังไม่ดีดหรือพุ่งไปไหน หมายความว่าราคายังอยู่ในรูปแบบsideway
4.เป็นแนวรับ-แนวต้าน Candlesticks vs Kumo
เส้นขยับหรือกลุ่มก้อนเมฆสามารถเป็นได้ทั้งแนวรับและแนวต้านโดยดูจาก
เป็นแนวรับเมื่อราคา(แท่งเทียน) อยู่เหนือกลุ่มก้อนเมฆ
เป็นแนวต้านเมื่อราคา(แท่งเทียน) อยู่ใต้กลุ่มก้อนเมฆ
หากราคาสามารถทะลุแนวรับ หรือแนวต้านได้เมื่อไร หมายความว่า ราคาอาจเกิดการเปลี่ยน Trend ได้
5.บอกจุดที่ราคาจะมีการสวิงตัวที่แรงๆ ตามทฤษฎี break out,Candlesticks vs Kumo
เมื่อราคา(แท่งเทียน) หลุดทะลุออกจากกลุ่มก้อนเมฆมา ราคาจะมีการสวิงตัวที่รุนแรง ตามทฤษฎี break out
แม้ว่าอินดิเคเตอร์ดัวนี้จะมีเส้นจำนวนมากถึง 5 เส้น แต่ด้วยหลักการจำที่ง่ายและประสิทธิภาพที่ดี รวมถึงความแม่นยำที่ร่ำลือกัน ทำให้ Ichimoku กลายเป็นอีกหนึ่งในอินดิเคเตอร์ยอมนิยมสำหรับเทรดเดอร์ฟอเร็กซ์ไปแล้วในปัจจุบัน