logo

Technical Analysis (พื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิค)

คือ การนำข้อมูลในอดีตจากกราฟมาคำนวณและใช้เพื่อพยากรณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต ซึ่งอาจจะมีการใช้ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อประมาณกรอบการเคลื่อนไหวของราคา การใช้ Techical Analysis จะช่วยให้การเทรดของเราหาจังหวะเข้าออกออเดอร์ได้แม่นยำมากขึ้น

DOW THEORY (ทฤษฎีของดาว) มีสมมติฐานอยู่ 6 ข้อ คือ

1.ราคาในกราฟสะท้อนทุกอย่างในตลาดอยู่แล้ว ดังนั้นหากเราทำการวิเคราะห์โดยใช้กราฟเทคนิค เราไม่จำเป็นต้องดูปัจจัยอื่นๆประกอบ

2.ตลาดแบ่งการเคลื่อนไหวเป็น 3 ช่วงหลักๆ

 -แนวโน้มใหญ่ หมายถึง ระยะเวลารายวัน(D1), รายสัปดาห์(W1), รายเดือน(MN)

 -แนวโน้มรอง หมายถึง ระยะเวลา 4 ชั่วโมง(H4), 1 ชั่วโมง(H1)

 -แนวโน้มระยะสั้น หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่ 30 นาทีลงไป (M30,M15,M5,M1)

3.แนวโน้มขาขึ้นมี 3 จังหวะด้วยกัน คือ

 -ช่วงสะสมหุ้น (The accumulation phase) เป็นช่วงที่หุ้นมีความเคลื่อนไหวของราคาอยู่ในกรอบอย่างช้าๆ

 -ช่วงมหาชนมีส่วนร่วม (The public participation phase) ทำให้ราคาหุ้นเคลื่อนที่อย่างรุนแรง

 -ช่วงแจกจ่ายหรือปล่อยของ (The distribution phase) จะทำให้ราคาหุ้นลงมาอย่างรวดเร็ว

4.ทุกตลาดจะต้องมีความสอดคล้อง ดังนั้นการวิเคราะห์โดยใช้ Techical Analysis จึงสามารถใช้ได้กับทุกสินค้า

5.ถ้าตลาดจะมีเทรนด์ต้องมีปริมาณยืนยัน (ขึ้นไปโดยที่ปริมาณการซื้อขายไม่ได้เพิ่มนั่นหมายความว่าแนวโน้มนั้นกำลังอ่อนแรงหรือกำลังจะจบลงในไม่ช้า

6.ราคาจะขึ้นจนกว่ามันจะไม่ขึ้น และจะลงจนกว่ามันจะไม่ลง

โดยคาถาที่ท่องไว้แล้วจะทำให้อยู่รอดในตลาด คือ “TREND IS YOUR FRIEND”(เทรน เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในการเทรดของคุณ)

กราฟมี 3 ประเภทที่นิยมใช้กัน

1.Line Chart คือ การแสดงเฉพาะราคาปิดในช่วง Time Frame ที่เราสนใจ โดยที่ไม่สนว่าระหว่างแท่งกราฟขึ้นสูงสุด ต่ำสุดเท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้เราเห็นแนวโน้มได้ง่าย แต่ก็มีรายละเอียดเชิงข้อมูลที่เอาไปวิเคราะห์ทางสถิติที่น้อยเนื่องจากเก็บไว้เฉพาะราคาปิดเพียงอย่างเดียว

2.Bar Chart คือ การแสดงผลกราฟที่สามารถดูได้ทั้ง ราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด โดยถ้าราคาปิดอยู่เหนือราคาเปิดแปลว่า Bar แท่งนั้นเป็นขาขึ้น และถ้าราคาปิดอยู่ต่ำกว่าราคาเปิดแสดงว่า Bar แท่งนั้นเป็นขาลง ซึ่งการดู Bar Chart เราจะได้ข้อมูลเชิงลึกมากกว่าการดู Line Chart เพราะจะเห็นว่าในแต่ละช่วงที่มีการเคลื่อนไหวเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบราคาที่กว้างหรือแคบ

3.Candle Stick Chart ถูกคิดค้นโดยชาวญี่ปุ่น ซึ่งในตอนแรกใช้ในการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ข้าว โดยนำกราฟมาพล็อตเป็นแท่งเทียนเพื่อดูอารมณ์ของผู้เล่นในตลาดและสามารถดูได้ทั้ง ราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด แต่จะมีการนำสีเข้ามาช่วยให้กราฟดูง่ายขึ้น กราฟแท่งเทียนมีจุดเด่นที่อัปเกรดมาจาก Bar Chart คือ ส่วนที่เรียกว่าแท่งเทียนตรงกลางและไส้เทียน สำหรับแท่งเทียนตรงกลางถ้ายิ่งยาวทำให้ยิ่งมั่นใจได้ว่าแนวโน้มของตลาดจะยิ่งไปในทิศทางนั้น และหากไส้เทียนยิ่งยาวแปลว่าตลาดมีความลังเลค่อนข้างสูง

ในการเทรดนอกจากการดูกราฟยังมีการนำสมการทางคณิตศาสตร์ที่มีสูตรคำนวณต่างๆมาสร้างขึ้นเพื่ออธิบายการเคลื่อนไหวของราคา เราเรียกสิ่งนั้นว่า Indicator โดย Indicator คำนวณมาจาก Open High Low Close ของราคารวมถึงปริมาณการซื้อขายด้วย จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์การเข้าออกออเดอร์ได้อย่างรวดเร็วว่าในช่วงนี้เรา Buy หรือ Sell

นักลงทุนเอา Indicators มาใช้งานอะไรบ้าง?

– สัญญาณเตือน เช่น มีสัญญาณการกลับตัวสูงไหม (Bullish Divergence/Bearish Divergence)

– สัญญาณยืนยัน หลังจากมีสัญญาณการกลับตัวเกิดขึ้น Indicators บางตัวก็สามารถยืนยันสัญญาณกลับตัวนั้นอีกที เช่น การเกิด Golden Cross ของ EMA 2 เส้น

– การคาดการณ์ราคา บาง Indicators สามารถนำมาใช้บอกความน่าจะเป็นของพฤติกรรมราคาในอนาคต เช่น Fibonacci

หน้าที่และความสามารถของ Indicators

บอกแนวโน้ม (Trends)

  • MA (Moving Average)
  • MACD (Moving Average Convergence & Divergence)
  • ADX (Average Directional Movement Index)
  • Ichimoku-Cloud

บอกแรงส่งของราคา (Momentum)

  • RSI (Relative Strength Index)
  • STO (Stochastic Oscillator)

บอกแนวรับ / แนวต้าน (Support & Resistance)

  • Fibonacci-Retracement
  • Fibonacci-Fans & Arcs
  • Gann Lines
  • Gride

บอกความผันผวน (Volatility)

  • ATR (Average True Range)
  • Linear-Regression

บอกปริมาณการซื้อขาย (Volume)

  • Volume
  • OBV (On Balance Volume)

อ้างอิง

https://www.youtube.com/watch?v=0wRmbjzHhOY&list=PLxcFCY6f8RaNOWE7xHYzUxiy3PUye6tTE&index=3

Facebook
Twitter
Email

ข่าวสารเพิ่มเติม